เทศน์เช้า วันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๖
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
เทศน์บนศาลา วันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๕๕
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
เขาจำเป็นต้องหางานทำ เขาหางานทำเพื่อเลี้ยงชีพ พอเลี้ยงชีพของเขา เขามีวัฒนธรรมของเขา เขามีความแนบแน่นกันในศาสนา ในศาสนามันก็มีความอบอุ่น มันมีหลักใจ ถ้ามีหลักใจ ไปอยู่ที่ไหนมันก็ยังคิดถึง นี่วัฒนธรรมของแต่ละชนเผ่า ไปอยู่ที่ไหนเขาก็คิดถึงวัฒนธรรมของเขา
เวลาคนเราเวียนว่ายตายเกิด เวลาเกิดมามันมีความจำเป็นทั้งนั้นแหละ เวลามีความจำเป็น เห็นไหม เด็กคลอดออกมาจากท้อง พยาบาลเขาจะตบก้นเลย ให้มันร้อง ให้มันร้อง แต่เวลาอยู่ในท้องนะ มันอาศัยหายใจด้วยสายสะดือจากแม่ เวลาออกมาแล้วต้องหายใจด้วยตัวเอง เขาตบก้นเลยนะ ให้มันหายใจ ให้มันรับรู้ มันร้องไห้ พอร้องไห้ นี่นะ เริ่มต้นชีวิตใหม่แล้วนะ ถ้าเริ่มต้นชีวิตใหม่ เรามีความจำเป็นต้องหายใจเอง
พ่อแม่เลี้ยงดูมา โตขึ้นมาเราก็ต้องมีอาชีพของเราขึ้นมา ถ้ามีอาชีพขึ้นมา นี่มีความจำเป็นทั้งนั้นแหละ พ่อแม่ก็ต้องให้มีการศึกษา ให้มีปฏิภาณไหวพริบเพื่อมีจุดยืนในสังคม สิ่งนี้คือการแข่งขัน มันต้องมีความจำเป็น เห็นไหม ความจำเป็นของโลก
ใครมีอำนาจวาสนาขนาดไหน ใครสร้างบุญกุศลของใครมา ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทำดีต้องได้ดี หลวงตาท่านสอนประจำ ให้ทำบุญกุศลนะ ถึงเวลาเราอัตคัดขาดแคลน เวลาเราตกทุกข์ได้ยาก บุญกุศลจะส่งเสริมเรา บุญกุศลจะส่งเสริมเรา เราไม่ได้ทำสิ่งใดไว้ ถึงเวลาเราจะเรียกร้องเรียกหาเอามาจากไหนล่ะ เราทำทั้งนั้นแหละ
กรรมคือการกระทำ เห็นไหม บอกว่า กรรมๆ กรรมก็มีแต่กรรมชั่วทั้งนั้นแหละ มีกรรมๆ ใครทุกข์ยากขึ้นมาก็ผลักไสให้กรรมไป แล้วกรรมดีล่ะ กรรมดีคือการกระทำ
เวลาคลอดมาจากท้องแม่ เราต้องหายใจเอง เราหายใจเองแล้วนะ อยู่ในท้องแม่นี่หายใจทางสายสะดือจากแม่ เราหายใจทางสายสะดือจากแม่นะ นี่ก็เหมือนกัน เราเกิดมาเป็นเด็กเป็นเล็ก พ่อแม่ก็ดูแลรักษามา แล้วถ้าเราโตขึ้นมาล่ะ เรามีความจำเป็นกับชีวิตนะ ถ้าความจำเป็นกับชีวิต เราต้องมีสติมีปัญญาบำรุงดูแลรักษาชีวิตของเรา นี่ถ้ารักษาชีวิตของเรา
พ่อแม่เวลานึกถึงลูก อยากให้ลูกเป็นคนดีและมีความสุข เริ่มต้นทุกคนอยากให้ลูกเป็นคนดีและมีความสุข แล้วถ้าประสบความสำเร็จในชีวิต หรือความอัตคัดขาดแคลน นั่นมันเรื่องของอำนาจวาสนาของคน อำนาจวาสนาของคนนะ เราก็ส่งเสริมของเราเต็มที่ ขอให้ลูกเราเป็นคนดีและมีความสุข
ฉะนั้น คนที่เป็นคนดีและมีความสุข แล้วความสุขทางโลก ความสุขแสวงหามาขนาดไหนมันก็สุขเวทนา ทุกขเวทนา แล้วความสุขทางธรรมล่ะ ทางธรรม ธรรมมันคืออะไรล่ะ ธรรมมันมาจากไหนล่ะ
ธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมชาติ ดูสิ พายุมันเข้าฟิลิปปินส์ตายเป็นพัน ธรรมชาติมันพัดมา เห็นไหม ถ้าธรรมชาติพัดมา ธรรมะเป็นธรรมชาติ มันเป็นธรรมชาติ เราก็เกิดเป็นธรรมชาติ ธรรมชาติคือวัฏฏะ ธรรมชาติคือเวียนว่ายตายเกิด ธรรมชาติคือความหมุนเวียน ความเป็นอนิจจัง มันเป็นความจริงของมัน
สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา มันเป็นอนัตตา มันเป็นตัวมันเอง แต่เรารู้ไหมล่ะ ชีวิตที่มันเคลื่อนไป วันคืนมันล่วงไปๆ มันรู้ไหมล่ะ ทำไมมันหลงใหลกับชีวิตนี้ล่ะ ทำไมมันยึดมั่นถือมั่นกับชีวิตนี้ล่ะ มันเป็นอนัตตาจริงหรือเปล่าล่ะ ถ้ามันเป็นอนัตตามันก็ต้องปล่อยวางในหัวใจของตัวสิ ทำไมหัวใจมันไม่ปล่อยวางล่ะ นี่ธรรมะเป็นธรรมชาติ
เพราะเราไปยึดมั่นถือมั่น ไปรู้ว่าเป็นความจริงไง เห็นไหม สิ่งที่มันมีความจำเป็น ความจำเป็นต้องมีชีวิต ความจำเป็นต้องมีสติปัญญา ความจำเป็นต้องแสวงหา การแสวงหามาดำรงชีวิต ถ้าเราศึกษาธรรมๆ มันก็มีความจำเป็นนะ
ความจำเป็นของเรา เห็นไหม ถ้าเรามีสติมีปัญญาขึ้นมา ถ้าเราวางทางโลกได้ เรามาปฏิบัติธรรมกัน เราก็มีความจำเป็น แต่ความจำเป็นของเรา ความจำเป็นของเราเอาออก ความจำเป็นของเรา เราถ่ายเทออก ความถ่ายเทออก ถ่ายเทอะไรล่ะ? ถ่ายเทกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ถ้ากิเลสตัณหาความทะยานอยาก สิ่งที่เกิดๆ อยู่นี่ อวิชชา เพราะมันไม่รู้ เพราะไม่รู้มันถึงจุติในครรภ์ เพราะไม่รู้มันถึงมีชีวิต
ทั้งๆ ที่มันมีชีวิตอยู่แล้วนะ จิตนี้มันไม่เคยตาย จิตที่เวียนว่ายตายเกิดของมัน แต่อวิชชาครอบหัวมันไว้ เวลามันจะไปเสวยภพชาติใด มันไม่รู้ตัวมันหรอก พอมันได้ภพชาตินั้นมาแล้วมันถึงได้รู้ เทวดา อินทร์ พรหม ได้เป็นเทวดา อินทร์ พรหมแล้วถึงว่า อ๋อ! เราเป็นเทวดา เราเป็นเทวดา
ในพระไตรปิฎก เศรษฐีมีลูกชายคนเดียว รักมากๆ แต่ตระหนี่ถี่เหนียว เจ็บไข้ได้ป่วย จะเอาหมอมารักษา ก็กลัวหมอจะมาเห็นทรัพย์สมบัติ หมอจะเรียกราคาแพง ก็ไปนัดหมอมา แล้วเอาลูกไปทิ้งไว้หน้าบ้าน ไม่ให้หมอเข้ามาเห็นทรัพย์สมบัติของตัว
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเล็งญาณ รื้อสัตว์ขนสัตว์ เล็งญาณว่าลูกเศรษฐีเขาก็มีอำนาจวาสนาของเขา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบิณฑบาตผ่านไป ฉัพพรรณรังสี ฉายแสงไป แสงไปกระทบตาของผู้ป่วยนั้น หันมามอง มันมีความชื่นใจมาก แล้วเขาเจ็บไข้ได้ป่วย เขาก็ตายเดี๋ยวนั้น พอตายเดี๋ยวนั้น จิตใจเขาเป็นบุญกุศล บุญกุศลเพราะเห็นแสงฉัพพรรณรังสี ไปเกิดเป็นเทวดา
เห็นไหม เวลามันเวียนว่ายตายเกิด เจ็บไข้ได้ป่วย นอนอยู่หน้าบ้านนั่นน่ะ เวลาตายจากที่นั่นด้วยบุญกุศล ด้วยเห็นแสงฉัพพรรณรังสีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไปเกิดเป็นเทวดา เกิดปั๊บเป็นเทวดาแล้ว เราเป็นเทวดามาได้อย่างไร? เป็นเทวดาเพราะว่าเห็นแสงฉัพพรรณรังสีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันปลื้มใจ มันปลื้มใจ เห็นไหม
เราบอกทำบุญๆ เราต้องขนกันมา ขวนขวายกันมาทำบุญๆ
ทำบุญนี้มันเป็นเครื่องแสดงออกของใจ ถ้าใจมันมีการแสดงออก นั่นน่ะบุญของมันอยู่ที่เจตนา นี่กรรม กรรมคือมโนกรรม กรรมคือการเคลื่อนไหว กรรมคือขับรถมา กรรมคือแสวงหามา มันเป็นการกระทำของจิตที่มันใช้สอยมา พอตายปั๊บมันไปเกิดที่นั่น
เราขณะที่เห็นแสงฉัพพรรณรังสีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยความปลื้มใจ เรายังเกิดเป็นเทวดา พ่อเราทรัพย์สมบัติมหาศาลเลย ทุกอย่างมีพร้อมเลย แต่ตระหนี่ ไม่เคยทำประโยชน์อะไรเลย ถ้าเราทำให้พ่อเรามีสติปัญญาได้ทำบุญกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาจะได้ยิ่งกว่าเทวดาไง เห็นไหม นี่เกิดปั๊บ
สุดท้ายแล้วพ่อ ด้วยความรักลูก รักมากนะ ดูสิ ความรักความผูกพันก็มี แต่ความตระหนี่สมบัติก็มี ความยึดมั่นถือมั่นในใจก็มี ดูกิเลส ดูอวิชชาสิ รัก ทำไมไม่รักษา รัก ทำไมไม่ดูแล รัก ทำไมไม่ทำให้มันหาย รัก ทำไมอยากรักษา แต่กลัวเงินกลัวทองเขาจะมาเรียกแพง อุตส่าห์เอาลูกไปทิ้งไว้หน้าบ้าน
นี่ไปร้องไห้ที่หลุมศพทุกวันเลย ไปคิดถึงลูก ไปร้องไห้ที่หลุมฝังศพ คิดถึงลูกไง ลูกที่ไปเกิดเป็นเทวดาแปลงเป็นเทพบุตรลงมา มานั่งร้องไห้ที่หลุมฝังศพก่อน ไอ้พ่อก็มานะ เอ๊ะ! วันนี้แปลก มีใครมาร้องไห้ก่อนเราเนาะ เอ๊ะ! มาร้องไห้
มาร้องไห้ทำไมล่ะ
ร้องไห้เอาดาวเอาเดือน
เอ็งจะบ้าหรือ ดาวเดือนมันจะเอาได้อย่างไรล่ะ
แล้วมึงจะบ้าหรือ คนตายแล้วร้องไห้อยู่นี่ ร้องไห้ให้มันฟื้นขึ้นมา เอ็งบ้าหรือ
พอพูดอย่างนั้นปั๊บแล้วก็สั่งสอนไง สิ่งที่มันไปแล้ว อดีตมันก็ผ่านไปแล้ว ทรัพย์สมบัติเก็บไว้ทำไม ทรัพย์สมบัติสิ่งที่มีอยู่ เห็นไหม ดูสิ เวลาตายไปแล้วได้อะไรไปล่ะ เดี๋ยวพ่อตายไป ไอ้ที่ว่าตระหนี่ๆ ก็กองไว้ในบ้าน ถ้ารู้จักใช้รู้จักสอย รู้จักทำประโยชน์ขึ้นมามันจะเป็นประโยชน์
นี่ตายปั๊บมันไปเห็นไง ผลของวัฏฏะๆ ไง ทีนี้ผลของวัฏฏะมันเวียนตามวัฏฏะ เพราะบุญกุศล ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ในเมื่อทำความดี จิตใจมันปลื้ม จิตใจที่มันเห็นแสงฉัพพรรณรังสีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันสะเทือนใจ มันไปเกิดเป็นเทวดา เราก็พยายามทำบุญกันอยู่นี่ แต่อวิชชาของเรามันก็เรรวนใช่ไหม...ได้ ไม่ได้ จริง ไม่จริง บุญมีหรือไม่มี ทำไปแล้วจะได้หรือไม่ได้
มันไม่ได้เอาออกไง เพราะมันไม่ได้เอาออกมันถึงเรรวนไง เห็นไหม การแสวงหาทางโลกเขาแสวงหามาเพื่อดำรงชีวิต ปัจจัยเครื่องอาศัยต้องแสวงหา ต้องมีสติมีปัญญาเพื่อประโยชน์กับชีวิตของเรา ในการประพฤติปฏิบัติธรรม พุทโธๆ ปัญญาอบรมสมาธิ เห็นไหม สิ่งที่มันเรรวน สิ่งที่มันไม่แน่ใจ สิ่งที่มันเป็นความสงสัย สิ่งที่มันเป็นอนุสัย สิ่งที่มันเป็นในหัวใจ พุทโธๆ ปัญญาอบรมสมาธิให้มันสงบตัวเข้ามา สงบตัวเข้ามา นี่เอาออก เอาออก พอเอาออก มันโล่งมันโถง เห็นไหม
บ้านของเรามีแต่สิ่งสกปรกโสมมไปทั้งบ้านเลย กลิ่นเหม็นไปทั่ว ไม่มีใครได้กลิ่นหรอก เราได้กลิ่นคนเดียว เพราะเราคิดของเราอยู่คนเดียว เราฟุ้งซ่านของเราคนเดียว เราตอกย้ำของเราคนเดียว บ้านเหม็น มีแต่ของหมักหมมไว้ในบ้าน มีแต่ความเครียด มีแต่ความทุกข์ความยากในหัวใจของเรา บ้านส่งกลิ่นเหม็นไปทั่วเลย แต่ไม่มีใครได้กลิ่นนะ เราได้กลิ่น
แต่คนได้กลิ่นมันบอกว่าหอม มันเป็นแมลงวันไง แมลงวันชอบของเหม็น เวลามันคิดขึ้นมา ฉันเก่ง ฉันดี ฉันต้องแสวงหา ฉันต้องยึดมั่นถือมั่น ฉันทำเพื่อประโยชน์ ฉันเป็นคนมีปัญญา นี่แมลงวัน กลิ่นเหม็นมันไม่รู้ว่าเหม็น กลิ่นเหม็นมันยังไปกว้านมาว่าเป็นของมัน เห็นไหม
แต่ถ้าเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทาน ศีล ภาวนา เราทำทานเพื่อจิตใจของเรา กลิ่นเหม็นให้มันรู้จักว่ากลิ่นเหม็น ทำทานแล้วมันได้ฟังธรรมของเราขึ้นมา ทาน ศีล ศีลคือความปกติของใจ ถ้ามันจะปกติของมัน ถ้ากลิ่นเหม็นต้องรักษาด้วยศีล รักษาด้วยความปกติของใจ ถ้าเราใช้ปัญญาอบรมสมาธิ เราใช้กำหนดพุทธานุสติ มันพุทโธๆๆ นี่มันจะคายกลิ่น มันจะทำความสกปรกโสมมในบ้านของเรา เห็นไหม คายออก
การแสวงหาทางโลกเราต้องแสวงหามาเพื่อความจำเป็น เพื่อดำรงชีวิตของเรา สิ่งจำเป็นมันต้องมีสติมีปัญญาของเรา หามาเพื่อดำรงชีวิตใช่ไหม มันเป็นกุศล คำว่า เป็นกุศล เป็นความถูกต้องชอบธรรม มันมีศีลธรรมจริยธรรมขึ้นมา หามาเพื่อประโยชน์กับเรา ถ้าหาขึ้นมาแล้ว เราทำของเราเอง ความลับไม่มีในโลกใช่ไหม เราหามาเพื่อเป็นกุศลขึ้นมา เป็นสัมมาทิฏฐิขึ้นมา มันก็เป็นประโยชน์กับเราทั้งนั้นแหละ แต่ถ้าเราแสวงหาเป็นมิจฉาทิฏฐิ เห็นไหม เราคดเราโกง เรารีดเราไถ เราเอาแต่ผลประโยชน์ของเราขึ้นมา เราก็รู้ทั้งนั้นแหละ เรารู้ทั้งนั้น นี่การแสวงหาในกุศลและอกุศล
แต่เวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา มีกิเลสกับธรรมๆ เราว่าเรารู้ธรรม เรามีปัญญาทั้งนั้นแหละ กลิ่นเหม็นทั้งนั้นแหละ ของเหม็นอยู่ในหัวใจมันคายออกไม่ได้ไง นี่มันต้องเสียสละออกไป มันต้องตักตวงเอาออก การตักตวงเอาออก ยิ่งออกมากขนาดไหนมันยิ่งได้คุณงามความดีมา มันยิ่งมากขนาดไหน จิตมันยิ่งสงบระงับเข้ามา
ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาเหงื่อไหลไคลย้อย เวลานั่งสมาธิขึ้นมา เจ็บหลังเจ็บปวดขึ้นมา เวทนามันเกิดขึ้น มันครอบงำหัวใจ
นี่มันเป็นข้ออ้างของกิเลสทั้งหมด เวทนามันเกิดจากไหน? เวทนามันเกิดจากจิต ความฟุ้งซ่าน ความยึดมั่นถือมั่นมันเกิดมาจากไหน? มันเกิดจากจิต จิตมันก็มีของมันอยู่แล้ว ถ้ากิเลสไม่ไปยึดมั่นขึ้นมามันก็อยู่กับใจนี่
ของเหม็นมันซ่อนไว้ มันกลบเกลื่อนไว้ มันก็ไม่มีกลิ่นออกมา แต่พอมีสติปัญญาไปรื้อค้นมา กลิ่นเหม็นไปหมดเลย กลิ่นเหม็นมาจากไหนล่ะ? กลิ่นเหม็นเพราะมันเป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันเป็นตัณหา แล้วมีสติมีปัญญาไปรื้อค้นขึ้นมา เราทำขึ้นมาเพื่อประโยชน์กับเรา นี่จะเอาออกๆ ไง
การประพฤติปฏิบัติ ยิ่งเอาออกยิ่งดี ยิ่งพยายามถ่ายเท ถ่ายเทความขุ่นข้องหมองใจออกไป ถ้าความขุ่นข้องหมองใจมันก็แค่ความสงบเท่านั้นเอง ฐีติจิต ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ เราใช้ปัญญาอบรมสมาธิ เราใช้คำบริกรรม มันก็มีความสงบระงับเข้ามา โดยข้อเท็จจริงมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่เวลาเราทำนี่เราคาดเราหมาย จะเป็นอย่างนั้น ภาวนาเพื่อสงบ ภาวนาเพื่อเป็นสมาธิ ทำเกือบเป็นเกือบตายไม่ได้สมาธิสักที
ทิ้งจากกลิ่นเหม็น ทิ้งจากของเหม็น มันก็ไปยึดมั่นตัวมันเอง นี่มันจะทิ้ง ก็เราขวางอยู่ไง ดูสิ ไปที่ไหน อู๋ย! มันสวย มันสวย ที่นี่มันเป็นที่สวยงามมากเลย
มึงจะทำให้มันไม่สวย คนที่เข้าไป คนจะไปทำลายทั้งนั้นแหละ นี่ก็เหมือนกัน ปล่อยมาหมดเลย ปล่อยมาหมดเลย จะเป็นสมาธิๆ ไม่ได้สมาธิสักที
พุทโธไป สัจจะมันเป็นสัจจะ แต่เพราะมันมีตัวตนของเราไปขวางไว้มันถึงไม่ได้สิ่งใดเลย
ทำเกือบเป็นเกือบตาย ไม่เห็นสิ่งใดเลย เลิกดีกว่าๆ เห็นไหม มันเอาออกไม่ได้ ถ้ามันเอาออกได้นะ การแสวงหาความจำเป็นของโลกมันก็มีความจำเป็นอันหนึ่ง นี่ว่าจริงตามสมมุติ มันมีอยู่จริง อยู่จริงตามสมมุติคือมันไม่จริงแท้ มันจริงชั่วคราว มันจริงเพราะอาศัย อย่างเช่นเงินทอง ถ้ารัฐยังค้ำประกันอยู่ เงินก็มีค่า ถ้ารัฐถอนเลิกใช้ กระดาษนั้นไม่มีใครเอาเลย นี่มันจริงอยู่ชั่วคราว
ความเป็นไปของชีวิตก็เหมือนกัน เด็กน้อย วัยรุ่น ชีวิตนี้มีค่ามาก ชีวิตนี้มีความรื่นเริงมาก ผู้เฒ่าผู้แก่นะ เราผ่านโลกผ่านวัยมามาก เราจะหาที่ของเราแล้ว เห็นไหม ความรู้ความเห็นของคนมันไม่เหมือนกันทั้งนั้นแหละ
ฉะนั้น สิ่งที่มีความจำเป็น จริงตามสมมุติ มันมีความเป็นจริงจริงๆ แต่จริงตามสมมุติแล้วเรามีสติปัญญาของเรา เราจะหาความจริงแท้ของเรา ถ้าจริงแท้ของเรา เราจะถ่ายเทอย่างใด ถ่ายเทความเหม็น ความไม่ดีในหัวใจของเราออกไปอย่างไร
ถ้าออกไปเป็นสัมมาสมาธิ แล้วเกิดมีสติปัญญาขึ้นมา จิตเห็นอาการของจิต จิตเห็นกาย จิตเห็นเวทนา จิตเห็นจิต จิตเห็นธรรม ถ้าจิตมันมีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมา มันเกิดวิปัสสนา วิปัสสนาเพราะอะไร
นี่จิตมีการกระทำ กับสิ่งที่เป็นรากฐานของความเหม็น ความเหม็นคือมันมีสถานที่ มีสิ่งต่างๆ ให้ของเหม็นนั้นมีที่อาศัยได้ ของเหม็นนั้นเกาะเกี่ยวอยู่กับสิ่งใด แล้วสติปัญญามันแยกมันแยะของมัน พิจารณาของมัน ทำลายของมัน มันทำลายของมัน เห็นไหม ถ้าเป็นภาวนามยปัญญามันจะรู้มันจะเห็นของมัน
มันต้องมีเหตุ เหตุทำให้สงบก็มี เหตุทำลายกิเลสก็มี
เหตุทำให้สงบเท่านั้น แล้วก็บอกว่า อย่างนี้จิตว่าง อย่างนี้มันปล่อยวาง นั้นฤๅษีชีไพรเขาทำของเขาด้วยความที่ไม่มีปัญญา เขาก็ว่าสิ่งนั้นเป็นเป้าหมายของเขา
แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทำสิ่งนั้นมาแล้ว แล้วเวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันยังมีวิปัสสนาญาณเข้าไปอีกชั้นหนึ่ง เห็นไหม มันมีภาวนามยปัญญาขึ้นมา ภาวนามยปัญญากับโลกียปัญญามันแตกต่างกันอย่างไร คนภาวนาเป็นมันจะรู้มันจะเห็น มันจะชัดเจนมาก ถ้าชัดเจนมาก พิจารณาอย่างนั้น ทำอย่างนั้น นี้คือความจำเป็นของนักปฏิบัติ นี้คือความจำเป็นของศากยบุตร นี้คือความจำเป็นของศาสนทายาท
ศาสนทายาทจะเป็นศาสนทายาทได้มันต้อง...ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์
เวลาทุกข์มันเกิด โดยสามัญสำนึกทุกคนรู้ได้หมด มันเกิดมันดับในหัวใจเกือบเป็นเกือบตายอยู่นี่ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ วิธีการที่รื้อมันออก วิธีการที่สำรอกคายมันออก วิธีการที่ตักตวงมันออกจากใจ วิธีการที่ทำลายมัน นี่วิธีการอย่างนี้ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ มันเป็นความจริงขึ้นมานะ
ความจำเป็นของโลกก็อย่างหนึ่ง มีชีวิตแล้ว เริ่มต้นชีวิตของเราอยู่กับโลกให้เป็นคนดี ให้มีความสุข พ่อแม่ก็อยากให้ลูกมีความสุข ความสุขกับโลก โลกก็มีความสุขแค่นั้นล่ะ แต่ถ้าใครมีสติปัญญาแล้วแสวงหาของเราขึ้นมา มันมีความจำเป็นในการปฏิบัติ เพราะในการปฏิบัติธรรมมันต้องปฏิบัติด้วยจิตของเราเอง มันต้องปฏิบัติด้วยการกระทำของเราเอง
มรรคขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มรรคของพระสารีบุตร มรรคของพระโมคคัลลานะก็เป็นมรรคของท่าน มรรคของเรายังไม่เกิด มรรคของเรายังไม่มี ศึกษามาขนาดไหน ถ้ามันไม่เกิดไม่มีขึ้นมา เราจะไม่มีความเป็นธรรมได้จริง
เราต้องฝึกหัดปฏิบัติของเราขึ้นมา แล้วพยายามสำรอกคายมันออก ให้เป็นความจริงของเราขึ้นมา ให้เป็นความจริงของใจ สัจธรรมจะกังวานประกาศกลางหัวใจ อกาลิโก ไม่มีกาลไม่มีเวลา เมื่อไหร่ก็ได้ ถ้าใครทำแล้วประสบความสำเร็จ ใจดวงนั้นจะมีคุณธรรมในหัวใจนั้น เอวัง